‘ขมิ้นชัน’ สมุนไพรไทย ระดับ Super Food สรรพคุณล้ำค่า

กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2564
กรุงเทพธุรกิจ”สมุนไพร”ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคโควิด-19 โดยเฉพาะขมิ้นชัน ที่มีสรรพคุณหลากหลาย ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันให้ทุกคน ห่างไกลโรค และด้วยกระแสการดูแลรักสุขภาพของคนไทย ส่งผลให้ตลาดสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตของอุตสาหกรรมยาเติบโตขึ้น จากเดิมมีมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาทในปี 2562 และมีพุ่งสูงขึ้นเป็น 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2563
“ขมิ้นชัน” มาแรงช่วงโควิด
“ขมิ้นชัน” (Turmeric) คือหนึ่งในกลุ่มสมุนไพร Product Champion ของไทย ที่มีศักยภาพในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะความต้องการเพื่อใช้ประโยชน์ ด้านสุขภาพและการแพทย์ ซึ่งเป็นโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรจากขมิ้นชันในรูปแบบออร์แกนิค หรือสารสกัดที่ได้มาตรฐานรับรองด้าน ความปลอดภัย โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ธุรกิจอาหารเสริม ยาและโรงพยาบาล นอกเหนือจากเดิม ที่นิยมใช้ในธุรกิจผลิตอาหารและ เครื่องสำอาง
พท.ป.ศิริกันยา สยมภาค รองหัวหน้าสถานพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ราชมงคลธัญบุรี คณะการแพทย์บูรณาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี กล่าวว่า ตลาดสมุนไพรที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากเทรนด์การบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่นิยมใช้สมุนไพรเป็นทางเลือก ในการดูแลสุขภาพ และนโยบายส่งเสริมการใช้สมุนไพรของรัฐ ได้มีการส่งเสริมให้โรงพยาบาล และสถานพยาบาลใช้สมุนไพรทดแทน การนำเข้ายาแผนปัจจุบัน ยิ่งในตอนนี้ เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 สมุนไพร หลายชนิดได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในขณะนี้ “ขมิ้นชัน” (ที่มีสารธรรมชาติ Curcumin หรือเคอร์คิวมิน) นับเป็นอีกหนึ่งในสมุนไพรที่ได้รับความสนใจมาก
ทั้งนี้ ตลาดรองรับที่มีความต้องการสูงในระยะข้างหน้า ได้แก่ กลุ่มธุรกิจด้าน การแพทย์และความงาม รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวและตลาดส่งออก ซึ่งขมิ้นชัน เป็น 1 ใน 4 สมุนไพร Product Champion ถ้ามองในแง่ของตลาด ภายในประเทศ จะเน้นในเรื่องการใช้สมุนไพรในแง่ สมุนไพรสด ที่อยู่ในรูปแบบอุตสาหกรรมอาหารและยา ส่วนในแง่ของการส่งออก จะเน้นสารสกัด เครื่องสำอาง
วิจัยสารสกัดป้องกัน รักษา ดูแลสุขภาพ
พท.ป.ศิริกันยา กล่าวต่อว่า ตัวสารสกัดในสมุนไพรน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะ ขมิ้นชัน เป็นที่ต้องการในตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยในประเทศนั้น ขมิ้นชันได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชี ยาหลักแห่งชาติ ทั้งยาเม็ด ยาแคปซูล โดยมีตัวยาสำคัญ คือ ผงเหง้าขมิ้นชัน (Curcuma longa L.) มีสารสำคัญ curcuminoids ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก (w/w) และน้ำมันระเหย ไม่น้อยกว่าร้อยละ 6 โดยปริมาตรต่อน้ำหนัก (v/w) รวมถึงเป็นสมุนไพรตัวแรกที่ผ่านการขึ้นทะเบียนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เป็น ยาที่สามารถใช้แทนยาแผนปัจจุบันกลุ่มบรรเทาปวดโรคข้อเสื่อม “ถ้ามองในแง่ของการศึกษาวิจัย ในต่างประเทศมีการงานวิจัยเกี่ยวกับ ขมิ้นชันในการรักษาหรือสามารถ ลด การแพร่เชื้อของโควิด-19 ได้ แต่นั้นยังอยู่ ในห้องทดลอง ซึ่งในประเทศไทยขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยดังกล่าว งานวิจัยที่มีจะ เน้นเกี่ยวกับการค้นหาสารสกัด เพื่อนำมาใช้ ในการป้องกัน รักษา และดูแลสุขภาพให้แข็งแรงในหลายระบบ เพราะขมิ้นชัน มีสรรพคุณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ ของระบบเลือด ระบบภูมิคุ้มกัน รักษา ภาวะเข่าเสื่อม และในแง่ของการป้องกัน อย่างการนำมาปรุงอาหาร และนำมาใช้ เสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโควิด-19” พท.ป.ศิริกันยา กล่าว
“ขมิ้นชัน” สรรพคุณทางยาปรุงอาหาร
สำหรับการนำ”ขมิ้นชัน”มาใช้ในแง่ ส่งเสริมป้องกันควรเน้นใช้ปรุงเป็น อาหารและเครื่องดื่ม หากเป็นในด้านป้องกัน ยาก็สามารถใช้รักษาภาวะต่างๆ เช่นภาวะเข่าเสื่อม ลดการปวดได้ โดยต้องทาน 2,000 มก.ต่อวัน ดร.ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว หัวหน้าศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาล (รพ.) เจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่าขณะนี้เป็นช่วงบูมของสมุนไพรไทย ซึ่งมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้สมุนไพรหลายๆ ตัวไม่สามารถผลิต หรือปลูกได้เท่าทันกับความต้องการ ของตลาด
“ผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ได้รับความนิยม จะเป็นกลุ่มอาหารใช้รับประทานสมุนไพรเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดจำนวนมาก และมีการนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้เช่น ขมิ้นชันนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่ม เพื่อให้รับประทานได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่เพียง ใช้สำหรับทำอาหารเท่านั้น รวมถึง การใช้ประโยชน์จากยาหรือสารสกัดจากขมิ้นชันนั้น ถ้าในรูปแบบของ ยารับประทาน เป็นยาแคปซูลที่มีผงเหง้าขมิ้นชันแห้ง 250 มิลลิกรัม รับประทานครั้งละ 2-4 แคปซูลวันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน อาจปั้นเป็นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง แต่ถ้าเป็นเหง้าแก่สดยาวประมาณ 2 นิ้ว ขูดเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดตำให้ละเอียด เติมน้ำ คั้นเอาแต่น้ำ รับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3-4 ครั้ง” ดร.ภญ.ผกากรอง กล่าว
ขณะที่รูปแบบและขนาดวิธีใช้ สำหรับใช้เป็นยาใช้ภายนอก สามารถใช้ได้ดังนี้ ใช้เหง้าขมิ้นแก่สดฝนกับน้ำสุก หรือผงขมิ้นชัน ทาบริเวณที่เป็นฝี แผลพุพอง หรืออักเสบจากแมลงสัตว์กัดต่อย ส่วนเหง้าแก่แห้ง บดเป็น ผงละเอียด ทาบริเวณที่เป็นเม็ดผื่นคันเหง้าแห้งบดเป็นผง นำมาเคี่ยวกับน้ำมันพืช ทำน้ำมันใส่แผลสด หรือเหง้าแก่ 1 หัวแม่มือ ล้างสะอาดบดละเอียด เติมสารส้มเล็กน้อย และน้ำมันมะพร้าวพอแฉะๆใช้ ทาบริเวณ ที่เป็นแผลพุพอง ที่หนังศีรษะได้
“สมุนไพรไม่ว่าชนิดไหนจะมีสรรพคุณหลากหลาย ควรใช้ในปริมาณที่ข้อบ่งชี้กำหนด หรือ ต้องมีการปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ร่วมกันยาแผนปัจจุบันก็อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ อีกทั้งยาสมุนไพรต้องใช้ให้เหมาะสมกับการพิจารณาแต่ละคน ซึ่งในส่วนของขมิ้นชัน นั้น มีข้อความระวังในกลุ่มผู้ป่วยโรคนิ่วใน ถุงน้ำดี ไม่แนะนำให้ใช้ ยกเว้นภายใต้การดูแลของแพทย์ หรือการใช้กับหญิงตั้งครรภ์ ถึงจะไม่มีข้อบ่งชี้ชัดเจน แต่หากใช้ควรเป็นไปตามการดูแลของแพทย์ รวมถึง ควรระวังการใช้กับเด็ก เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลด้านประสิทธิผลและความปลอดภัย และการใช้ยานี้ร่วมกับสารกันเลือดเป็นลิ่ม เป็นต้น” ดร.ภญ.ผกากรอง กล่าว
แนะรัฐหนุนวิจัย-ตลาดต่างประเทศ
สมุนไพรไทยนั้นถือเป็นจุดแข็งของประเทศ มีการนำมาใช้กันอย่างยาวนาน และเป็นภูมิปัญญาที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยต่อยอดสมุนไพรไทย จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เราพบว่า “ขมิ้นชัน” มีตลาดรองรับจำนวนมากและมาแรงมากในยุคโควิด-19 พท.ป.ศิริกันยา กล่าวอีกว่า หากจะทำให้ขมิ้นชันมีอัตรา การเติบโตมากกว่านี้ จะต้องมีการส่งเสริม งานวิจัย และการปลูกสมุนไพรสดที่สามารถกำหนดปริมาณสารสำคัญเพื่อนำไปสู่ แหล่งผลิตยา และต้องมีการเชื่อมต่อ ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ แหล่งผลิตสมุนไพร ให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ กลางน้ำ ต้องมี ภาคเอกชน โรงงานการผลิตที่มีนวัตกรรม ใหม่ๆ มีการศึกษาวิจัย แปรรูป ค้นหาสารสกัดใหม่ๆ เพื่อเข้าสู่การผลิตสินค้าในรูปแบบใหม่ และปลายน้ำต้องมีทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ภาครัฐต้องหาตลาดสมุนไพรในต่างประเทศ ให้แก่อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยเพื่อส่งเสริม การส่งออกให้มากขึ้น
“สมุนไพรไทยนั้นถือเป็นจุดแข็งของประเทศ มีการนำมาใช้กันอย่างยาวนาน และเป็นภูมิปัญญาที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัย ต่อยอดสมุนไพรไทยจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง”
“ช่วงโควิด-19 สมุนไพรไทยนับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถใช้บรรเทาอาการเบื้องต้นได้ ซึ่งต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ตามข้อบ่งชี้ และพิจารณาตามสุขภาพร่างกายของแต่ละคน”
‘Wonder of drugs’ สมุนไพรในตำนาน
“ขมิ้นชัน” สมุนไพรในระดับตำนานที่มีประวัติในการนำมาใช้ในการรักษามากกว่า 5,000 ปี และได้รับ การขนานนาม ว่าเป็น “Wonder of drugs” เพราะมีสารเคอร์คิวมินเป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีผลงานวิจัย ทั้งแพทย์แผนไทยและแผนตะวันตกในการรักษาได้หลายโรคสำหรับประโยชน์ของขมิ้นชัน ที่มีสาร “เคอร์คิวมิน” ที่เป็นฮีโร่สำคัญ มีดังนี้ 1.ต้านการอักเสบและ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ด้วยสารสกัด เคอร์คิวมินช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบภูมิคุ้มกัน สามารถช่วยในการต้านเชื้อไวรัส เชื้อโรค และสารพิษ และ ยิ่งในยุคนี้ที่เกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ภูมิคุ้มกันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต และช่วยให้ร่างกายแข็งแรงเพื่อต่อต้านเชื่อไวรัสต่างๆ ที่จะเข้ามาทำลายสุขภาพ ขมิ้นชันจึงเป็น อีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยเสริมภูมิและต้านโควิด-19 ได้ รวมถึงช่วยบรรเทาอาการอักเสบของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ สามารถใช้รักษาอาการของโรคเรื้อรัง อย่างเช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง, โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเมตาโบลิกซินโดรม และโรคอัลไซเมอร์
2. บำรุงตับและล้างสารพิษสารสกัดเคอร์คิวมินมีประสิทธิภาพโดยตรงในการล้างพิษและช่วยฟื้นฟูตับ มีฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบ ช่วยบำรุงตับ และลดภาวะไขมันพอกตับ นอกจากนี้ เคอร์คิวมินยังสามารถช่วยรักษาอาการเมาค้างได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
3.ต่อต้านสารอนุมูลอิสระและชะลอการแก่ก่อนวัย เนื่องจากเคอร์คิวมิน มีผลต่อเซลล์มะเร็ง จึงช่วยหยุดยั้ง วงจรการขยายตัวของเซลล์ร้าย ต่อต้านทั้งมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งมดลูก มะเร็งเต้านม นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกนำมาสกัดเป็น ยาเสริมอาหารที่ใช้บำรุงร่างกาย ป้องกันโรค ป้องกันการเสื่อมโทรมของเซลล์ และป้องกันร่างกายไม่ให้เสื่อมไปตามวัย ถือเป็นสรรพคุณด้านความงาม ที่น่าจะถูกใจใครหลายคน จากผลวิจัยที่น่าเชื่อถือทั้งในและต่างประเทศ ที่ได้ยืนยันถึงผลดีต่อสุขภาพของสารเคอร์คิวมินในขมิ้นชัน สมุนไพรสูงคุณค่านี้จึงได้รับการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ที่สะดวกต่อซื้อหามาการบริโภคสำหรับคนในปัจจุบันอย่าง แพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นเคอร์คิวมิน แบบสด แบบผง แบบเม็ด ทั้งในรูปแบบ อาหารเสริม รวมไปถึงเครื่องดื่ม เคอร์คิวมิน แบบบรรจุขวด ที่ปราศจากสารกันบูด และอุดมไปด้วยเคอร์คิวมินสกัดเข้มข้น อนุภาคเล็กระดับนาโน (มีค่าเท่ากับ 10-9หรือ หนึ่งในพันล้านเมตร) ร่างกายจึงสามารถดูดซึม ประโยชน์จากเคอร์คิวมินไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่มีวางจำหน่ายตาม ร้านสะดวกซื้อและร้านค้าทั่วไป
ประสิทธิภาพคุมแพร่โควิดในห้องทดลอง
เมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา BIOTHAI ระบุว่า Carla Guijarro-Real และ คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิควาเลนเซีย (Universitat Politcnica de Valncia) ประเทศสเปน เผยแพร่ผลการวิจัยเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2564 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับขมิ้นชันและพืชต่างๆ อีก 14 ชนิด โดยพบว่าขมิ้นชันมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการควบคุมการแพร่ขยายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในห้องทดลอง โดยนักวิจัยสกัดสารจากพืชที่สามารถยับยั้งการทำงานของ SARS-CoV-2 Chymotripsin-Like Protease (3CLPro) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการแพร่ขยายของไวรัสโควิด-19
จากการวิจัยในห้องปฏิบัติการ ปรากฎว่า สารสกัดรวมจากขมิ้น (Curcuma longa) เหง้ามัสตาร์ด (Brassica nigra) และวอลล์ร็อกเก็ต (Diplotaxis erucoides subsp. Erucoides) ที่ความเข้มข้น 500 ไมโครกรัมต่อ mL แสดงผลยับยั้งการทำงานของ 3CLPro ส่งผลให้กิจกรรมโปรตีเอสตกค้าง 0.0% 9.4% และ 14.9% ตามลำดับ
ปัจจุบัน บริษัทยา MGC Pharma ที่ดำเนินกิจการในยุโรป ได้ยื่นขออนุญาตทำการทดลองยา CimetrA เพื่อรักษา โควิด และเริ่มกระบวนการวิจัยในเฟส 3 แล้วที่ที่ศูนย์การแพทย์ Rambam ประเทศอิสราเอล โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมี ขมิ้นชัน โกฐจุฬาลัมพา และกำยาน เป็นองค์ประกอบสำคัญและกำลังถูกพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ คาดว่าจะออกสู่ตลาดภายในปี 2565 ที่จะถึงนี้

แสดงความคิดเห็น

[fbcomments count="off" num="5"]